อมตะเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี

  • Print

อมตะเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี

อมตะเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี

คำนำ

          หนังสืออมตะเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี เล่มนี้ มีเนื้อหาสาระแปลกจากหนังสือประวัติสมเด็จโตฉบับอื่นๆ ทั้งนี้เพราะพระประวัติของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯที่รวบรวมและเรียบเรียงมานี้ มาจากการที่ดวงพระวิญญาณตรัสเล่าและแสดงธรรมเทศนา โดยผ่านร่างมนุษย์ ดังที่ทราบกันอยู่ว่า ดวงพระวิญญาณท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปโปรดสัตว์หลายแห่งในประเทศไทย โดยแสดงธรรมให้มนุษย์ได้รู้จักบาปบุญคุณโทษ และพื่อบูรณะปูชนีย์วัตถุ ซึ่งท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯได้สร้างไว้ เมื่อครั้งยังมีพระชนมชีพ อันเป็นการจรรโลงพระพุทธศาสนา อาทิ เช่น ที่วัดพรหมรังษี จังหวัดลพบุรี ที่อรัญประเทศ และท้ายสุดที่สำนักปู่สวรรค์

          ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯทรงเล่าประวัติและผลงานในอดีตของท่าน ซึ่งไม่สามารถหาอ่านได้จากหนังสือเล่มใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องส่วนตัวของท่าน นักเขียนรุ่นหลังเคารพบูชาท่านมาก ได้เขียนยกยอท่านเกินความจริงไปก็มี ทำให้มองเห็นไปว่า ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เป็นพระเถระผู้มีบุคลิกลักษณะเรียบร้อยเหมือนผ้าพับไว้แท้ที่จริงแล้ว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯมีอัธยาศัยขึงขังโผงผางเด็ดเดี่ยว กล้าพูดกล้าทำ จนบางครั้งอาจเห็นว่าท่านไม่สำรวม เป็นพระไม่เต็มบาท ทำอะไรขาดๆเกินๆ หากท่านผู้อ่านไม่ได้ศึกษาพระประวัติอย่างละเอียด และมิได้มองลึกไปในเหตุที่ท่านแสดงออกมาแล้ว อาจทำให้เห็นอัธยาศัยของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯผิดไป

          ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆเรื่องการฉันภัตตาหาร ไม่ว่าท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯจะไปฉัน ณ ที่แห่งใด เมื่อเกิดความรู้สึกว่าอาหารอร่อย ท่านจะคายอาหารนั้น โดยเอาผ้าเช็ดหน้าห่อเก็บไว้ การกระทำของท่านไม่ได้ทำอย่างมิดเม้น แต่ทำอย่างเปิดเผยจนเป็นที่รังเกียจแก่พระเถระรูปอื่นๆ ในที่สุดก็ไม่ค่อยมีใครจะนิมนต์ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯไปฉัน เว้นแต่พวกศิษยานุศิษย์ที่เข้าในท่านเท่านั้น

          เหตุผลที่ท่านคายอาหารออกมา ก็ด้วยท่านบำเพ็ญธรรมไม่ยึดติดในรสชาติของอาหาร และอาหารที่คายนั้น ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ก็นำไปผสมเป็นมวลสารของพระสมเด็จอันลือลั่นของท่าน

          ยังมีอีกหลายเรื่องเป็นที่กังขา อาทิ สมเด็จปล้ำสีกาในโบสถ์ สมเด็จฉันหมูสามชั้นสดๆกับข้าวดิบ สมเด็จถีบตะเกียงให้ขโมย สมเด็จจุดไต้เข้าวังกลางวันแสกๆ เหล่านี้ถ้าเราท่านไม่ทราบเบื้องหลังความเป็นมาอย่างแจ้งชัดแล้ว จะเข้าใจท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯผิดไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯแสดงออก ล้วนอยู่ในกรอบแห่งธรรมะ โดยเฉพาะมหาเมตตาคุณของท่านที่มีต่อศิษยานุศิษย์ และสยามประเทศมีมากล้นยากที่จะหาพระเถระรูปใดเสมอเหมือน

          หนังสืออมตะเถระสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี เล่มนี้ จะให้ความกระจ่างแก่ท่าน ขอให้ท่านอ่านอย่างพิจารณา และนำสิ่งที่ท่านเห็นว่าดี มีประโยชน์ไปปฏิบัติ เพื่อชาติศาสนาและพระมหากษัตริย์ของเราถ้อยคำสำนวนในหนังสือเกือบทั้งหมดถอดมาจากที่ดวงพระวิญญาณท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯทรงเล่า

ชมรมสวดพระคาถาชินปัญชร

ตุลาคม ๒๕๓๑

…………………………………………………………………………………………………

คำนำ จากเว็บไซต์สวรรค์รำลึก

เป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้วว่าอมตะเถระแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้มีชื่อเสียงเกียรติคุณขจรกระจายไปทั่วแม้ท่านจะละสังขารไปแล้วนับร้อยปี ผู้คนก็ยังคงนับถือเคารพบูชาไม่เสื่อมคลาย เห็นจะเป็นใครไปเสียไม่ได้นอกจาก หลวงพ่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี พระเถระอมตะที่อยู่เบื้องหลังการคงอยู่ของสยามประเทศมาตลอด ผู้เป็นที่พึ่งของมหาชนทุกระดับตั้งแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินจนถึงยาจกยากไร้ แม้กระทั่งท่านดับสังขารไปแล้วดวงพระวิญญาณก็ยังคงห่วงลูกหลานและผืนแผ่นดินไทยนี้อยู่ ท่านจึงกลับมาโปรดมนุษย์ด้วยวิธีการต่างๆที่สำนักปู่สวรรค์ ตลอดเวลาตั้งแต่ก่อตั้งสำนักปู่สวรรค์ (พ.ศ.๒๕๐๙)  ท่านได้ชี้แนะหนทางรอดของสังคมไทยและสังคมโลกให้พ้นจากวิกฤติได้หลายครั้ง ท่านได้แสดงธรรมะให้ผู้คนได้เข้าซึ้งถึงสัจธรรม อันเป็นคุณูปการที่จะหาจากที่ใดเสมอเหมือนมิได้

ในโอกาส ๑๔๒ ปี แห่งการมรณภาพของท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เว็บไซต์สวรรค์รำลึกขอนำบันทึกบางตอนเกี่ยวกับประวัติชีวิตและจริยวัตรของสมเด็จโต จากหนังสือ อมตะเถระ สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังษี เล่ม ๒ จัดพิมพ์โดยชมรมสวดพระคาถาชินปัญชร มาลงไว้ในเว็บไซต์เพื่อให้ผู้อ่านได้ร่วมย้อนเวลา รำลึกถึงพระคุณของสมเด็จโต ที่มีต่อเราทั้งหลาย หากท่านได้อ่านทุกอักษรอย่างพิจารณาเชื่อว่าท่านจะได้ข้อคิด สัจจะ และธรรมะบางอย่างที่สามารถนำไปปรับปรุงชีวิตของท่านได้ไม่มากก็น้อย ส่วนความเชื่อถืออย่างไรก็สุดแท้แล้วแต่วิจารณญาณของท่าน หากไม่เชื่อก็ขอให้คิดเสียว่ามาอ่านนิทานชวนคิดเรื่องหนึ่งเพื่อเก็บสาระเอาไปพิจารณาสำหรับชีวิตต่อไป

ตอน ปาป้านชาทดสอบโสดาบัน

          อาตมาสมัยมีสังขาร ชาวบ้านชื่นชมเพราะความมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง คือความไม่กลัวใคร รักสัจจะ รักความจริง และมีหลักประจำใจ คือ เมตตาเป็นหลักแล้วก็ชอบพิสูจน์ความจริง

          ครั้งหนึ่งเขานิมนต์อาตมาไปแสดงธรรม เขาเรียกว่า ปุจฉาวิสัชนากับมหาสุด มหาสุดผู้นี้อวดตนว่าสำเร็จเป็นพระโสดาบัน แต่ยุคนี้ส่วนมากสำเร็จสุราบัน ตกเย็นกินสุรากัน

          อาตมาก็ไป ไปในงานนิมนต์ที่บ้านเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เสนาบดีชั้นเอกในยุคนั้น เขาเรียกเทศน์สองธรรมาสน์ อาตมาขึ้นไปถึงธรรมาสน์ อาตมาก็ทำเป็นง่วงนอน นอนไปเรื่อย มหาสุดก็เทศน์ยั่วอาตมาเรื่อย ยั่วหนักๆ อาตมาแกล้งนอนเฉยเสีย เหมือนไม่ได้ยิน มันเกิดโมโห นี่โทสะเข้าแล้ว อาตมาก็เอาป้านชาลายครามของเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ที่เขาหวงที่สุด ปาหัวมหาสุดในที่ประชุมเลย

          พอปาไปที่นั่น มหาสุดโมโหจัด อาตมาเทศน์ว่า นี่ๆท่านดูซิว่าพระโสดาบันเกิดมีโทสะขึ้นมาอย่างไม่ใช่โสดาบัน มันต้องสุราบัน ผลสุดท้ายวันนั้นก็เทศน์ในวิถีการคำว่าการเข้าถึงกระแสจิตแห่งการเป็นโสดาปัตติมรรค

          กระแสจิตแห่งการเข้าถึงการเป็นโสดาปัตติมรรคนี้ หนึ่งจิตจะต้องนิ่ง ยิ้มผ่องใส สองกระแสแห่งอำนาจโลภะก็ดี กระแสแห่งอำนาจโทสะ กระแสแห่งอำนาจโมหะก็ดี จะไม่สามารถที่จะเคลื่อนเข้ามาสู่กระแสจิตของผู้ที่เขาเรียกว่าเริ่มเข้าสู่อริยบุคคล

          ถ้าท่าจิตเข้าถึงอริยบุคคลแล้ว คนด่าท่าน ท่านจะยิ้มรับทั้งใจนอกและใจใน แต่ว่าทุกวันนี้ สังคมเขาเรียกว่า สวมหน้ากากเข้าหากัน ภาวะนั้นก็มหาสุดเกิดโมโห อาตมาเลยเทศน์กัณฑ์ใหญ่ในที่ประชุม ทีแรกเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ไม่พอใจ บอกว่าเครื่องลายครามนี่กูเก็บไว้ตั้งนาน สมเด็จโตมาปาเล่นเสียได้ แต่ว่าเมื่อฟังอาตมาแล้วก็บอกว่าคุ้มค่ากับป้านชาลายครามถูกปาทิ้ง คืออาตมาแสดงธรรมะเขาชอบแสดงกับสิ่งที่มีความจริง และสิ่งที่พิสูจน์ในขณะจิต และในขณะนั้นได้

ตอน จีนเฒ่าเล่าเรื่องกรรม

          สมัยอาตมามีสังขารอยู่ มีคนจีนสองคนมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาเดินทางกลับสู่เมืองจีน ระหว่างไปนั้นขณะอยู่ในเรือ ก็ได้อุปการะเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เพราะถูกชะตาได้เลี้ยงดูปูเสื่อเด็กนั้นเป็นอย่างดี

          ทีนี้ก่อนที่จะถึงบ้าน ระหว่างเดินทางอยู่ในหุบเขานั้นเด็กหนุ่มเกิดคิดอกุศลขึ้นมา จะฆ่าและชิงทรัพย์ของจีนเฒ่าผู้นี้ ตาแป๊ะคนนี้ก็บอกว่า ไหนๆ ท่านจะฆ่าเรา เรายินดีให้ฆ่า แต่ขอให้เราตายอย่างคนสะอาด ขอให้เราลงไปในบึ่งนั้น ล้างเท้ามือก่อน แล้วค่อยขึ้นมาให้ท่านฆ่า

          เจตนาของตาแป๊ะแก่คนนี้ก็บอกว่าต้องการหนี เขาบอกอาตมาสมัยมีสังขารว่า ต้องการหนีเท่านั้น แต่ออกอุบายว่าต้องการล้างมือล้างเท้าในบึง

          ทีนี้ลงมาถึงก็เจอ เจ้าที่ปรากฏกาย คือเจอแป๊ะแก่คนหนึ่งมีหนวกบอกว่า นี้เจ้าอย่าหนีเจ้าจงให้เขาฆ่าเขาก็ถามว่า ท่านเป็นใคร แป๊ะแก่มีหนวดไม่บอก พูดแต่ว่า ท่านจงไปบอกเด็กหนุ่มว่า ฆ่าแล้วจงเอากระดูกของท่านมาไว้คู่กับกระดูกของเขา ชาติก่อนท่านเคยฆ่าเขาตาย ถ้าไม่เชื่อก็ลองไปยกหินก้อนหนึ่งที่ทับอยู่ตรงนี้ออกเสีย แล้วท่านจะพบโครงกระดูกกับมีดอันหนึ่ง เสร็จแล้วเจ้าที่ นั้นก็อันตรธานไป

          ตาแป๊ะคนนี้ก็คิดว่า เอ๊ คนนี้หายไปคงจะเป็นเซียน เพราะว่าคนจีนเขานับถือเรื่องเซียนเป็นใหญ่ ถ้างั้นก็ลองมาผลักหินก้อนนี้ขึ้นซิ เมื่อผลักหินก้อนนี้ขึ้นมาก็เจอโครงกระดูกกับมีดจริงตามที่คนแก่นั้นพูด ก็คิดว่า เอ๊ะ! อย่างนี้เราก็เคยฆ่าเจ้าหนุ่มคนนี้นะซิ ถ้าอย่างงั้นเราก็จะไปเรียกเจ้าหนุ่มคนนี้มาตกลงกัน

          ชี้แจงว่าทีแรกเราว่าจะลงไปล้างมือล้างเท้านั้นน่ะ เราโกหกท่าน นึกจะหนี แต่เนื่องด้วยเซียนมาบอกว่า เราเคยฆ่าท่าน เราไม่เชื่อ บอกให้เราผลักก้อนหินขึ้นมา จะเจอกระดูกและมีดที่เคยฆ่าท่าน ก็เจอจริง เพราะฉะนั้นเรายินดีให้ท่านฆ่า ฆ่าแล้วท่านจงเอาศพเรานี้ทิ้งไว้กับกระดูกกับมีดอันนั้นที่ใกล้ศพท่านในอดีต

          เจ้าหนุ่มนั้นมาเห็นเข้า มีโครงกระดูกมีมีดจริง ก็บอก เอ๊! อย่างนั้นเราฆ่าท่านชาตินี้ ชาติหน้าเราเกิดมาก็ต้องให้ท่านฆ่าอีกที ก็ฆ่ากันไปมาอย่างไม่จบสิ้นกัน ไม่เอา เราเลิกฆ่าท่านล่ะ ก็กลับใจด้วยเห็นโครงกระดูกนั้น เป็นอโหสิกรรม

          เพราะฉะนั้นคนแก่นี้ ก็เลยมอบทรัพย์สินให้และบอกว่าเมื่อกลับถึงหมู่บ้านของเรา อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง หลังจากนั้นตาแป๊ะนั้นเขาก็กลับมาเมืองไทยแล้วไปสักการะอาตมาที่วัดระฆัง แล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้อาตมาฟัง

ตอน ใกล้เกลือกินด่าง

สมัยหนึ่งอาตมาอยู่วัดระฆังฯนั้น คนทุกคนมาหาสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) แต่มีเจ๊หง คนหนึ่งที่ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่หน้าวัดระฆัง จะไม่ยอมเข้ามาหาสมเด็จโต ตั้งแต่สาวจนตาย เพราะอะไรเล่า?  เขาถึงได้บอก เกจิอาจารย์ก็ดี ผู้ที่เป็นนักปราชญ์สอนโลกก็ดี จะไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้ที่อยู่ใกล้บ้าน จะไม่ได้รับการเห็นชอบหรือสรรเสริญจากผู้ที่อยู่รอบวัด เพราะอะไร ?

          เพราะเขาถือว่าอยู่ใกล้แค่นี้เมื่อไรก็ได้ แต่เจ๊เขาส่งอาหารถวายสมเด็จโต ส่งก๋วยเตี๋ยวถวายอยู่เรื่อย คนเขาถาม เจ๊เมื่อไรจะเข้าไปเยี่ยมสมเด็จโตล่ะ ก็บอกว่า อื่อ ฉันยังสาวอยู่ ยังไม่ไปหรอกรอให้ฉันมีผัวก่อน พอฉันมีผัวเสร็จแล้ว บอกอ้าวเจ๊มีผัวแล้วเมื่อไร จะเข้าไปเยี่ยมสมเด็จโต  ฉันเพิ่งมีผัวใหม่ๆ รอให้ฉันมีลูกก่อน พอมีลูกเสร็จแล้ว คนที่มากินก๋วยเตี๋ยวบอกว่า  เจ๊เมื่อไรจะไปเยี่ยมสมเด็จโต บอกลูกฉันยังเล็กอยู่ให้ลูกฉันโตก่อน พอลูกโต เจ๊เมื่อไรไปเยี่ยม รอให้ลูกฉันมีเมีย มีลูกสะใภ้ก่อน พอมีลูกสะใภ้บอกเจ๊เมื่อไรจะไปเยี่ยม รอให้ฉันมีหลานก่อน พอดีตายห่าเท่งทึงไป ไม่ได้เยี่ยมสมเด็จโต นั่นคือเขาเรียกว่าคนเราใกล้เกลือกินด่าง นี่พวกนี้เขาเรียกใกล้เกลือกินด่าง พวกกิเลสหนามันเป็นอย่างนี้

ตอน นักสังคมสงเคราะห์ปราบยาเสพติด

          เรื่องสร้างเจดีย์ขี้ยา พระสมเด็จขี้ยา พวกเจ้าต้องเข้าใจว่า สมัยที่อาตมาอยู่ที่วัดระฆังนั้น เถรสมาคม สังฆมณฑล ราชอาณาจักรชั้นเสนาบดี พอเห็นหน้าสมเด็จโต หน้าซีด สั่นหัว บอกว่าถ้ามาถึงไม่ด่าแม่ ก็คงจะมาหาเรื่อง เพราะพวกนี้ไม่สุจริตใจ

          อาตมาเป็นพระไม่เหมือนชาวบ้าน ใครทุกข์ร้อนมา อาตมาต้องยื่นมือช่วย  กุฏิอาตมาเลี้ยงทั้งหมาแมว กลิ่นนี่เหม็น แต่คนก็แห่กันมาเรียกว่าหัวกระไดไม่แห้ง มีเรื่องโน้นเรื่องนี้มาให้สมเด็จโตช่วยแก้ปัญหา

          ทีนี้แบบเรื่องสร้างเจดีย์ขี้ยา คนไม่รู้ก็หาว่าสมเด็จโตมีอภินิหารมาก ไม่รู้ไปหยิบเงินมาจากที่ไหน..มาสร้าง สร้างเสร็จแล้วก็เอาเงินทิ้งลงคลอง

พวกขี้ยาก็มาอยู่เรื่อย อาตมาก็อบรมให้เขาเลิกยา ว่า

จะกล่าวสอนสู่ทุกหมู่ศิษย์  จงฟังคำไว้ให้เป็นนิตย์  อุตสาห์คิดข้อความ ไปตามกลอน

อันเบี้ย ฝิ่น กัญชา สุราร้าย  เป็นเหตุให้ฉิบหายนะท่านเอ๋ย  คนดีดีท่านไม่ชอบอารมณ์เลย

เพราะท่านเคยเห็นแล้วแต่หลังมา แต่เสียทรัพย์ยับยุบเพราะบ่อนเบี้ย  จนขายลูกขายเมียเสียหนักหนา 

เจ้ายาฝิ่นเล่าก็รัดเต็มตำรา  เจ้ากัญชาเล่าก็เชือนไม่มีดี  เจ้าน้ำเมาเล่าก็มักให้เกิดความ

เขายิ่งห้ามก็ยิ่งฮึกไม่ถอยหนี  ทั้งสี่สิ่งยิ่งร้ายในโลกีย์ ถ้ารักดีแล้ว ก็อย่ากระทำเลย

          อาตมาบอกว่าถ้าเลิกยาแล้วจะสร้างพระคุ้มครองให้ อย่างนั้นอย่างนี้ พวกขี้ยาก็ตกปากรับคำ เรื่องสูบกัญชายาฝิ่นนี้มีมานานแล้ว เด็กสมัยใหม่ไม่รู้นึกว่าสูบกัญชานั้นเก๋ไก๋ เอะอะก็จะตามขี้ฝรั่ง พอไปเรียนเมืองฝรั่งสองวันกินขนมปังมา แหม พูดภาษาไทยไม่เป็น หันมาสูบกัญชาตามมัน เป็นเรื่องที่น่าขัน เพราะกัญชายาฝิ่นเป็นของที่ไม่ดี ถึงได้มีการรณรงค์ให้เลิกกันมาตั้งแต่สมัยอาตมามีสังขาร

          สมัยนั้นเป็นยุคกัญชายาฝิ่นเฟื่อง หน้าวัดระฆังฯ กับหน้าวัดโพธิ์ ตื่นเช้าตีสี่ตีห้า เขามีชุมนุมประกวดบ้องกัญชา ว่าบ้องใครสวย โดยแจกถ้วยให้รางวัลด้วย

          เมื่อพวกขี้ยามาหาอาตมาที่กุฏิ ก็ถามเขาว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า วันหนึ่งเอ็งสูบยากี่ตังวะ ? บ้างก็สองอัฐ บ้างก็หนึ่งสลึง อาตมาก็บอกว่า เอ๊ะ..มึงเอาเงินที่จะสูบกัญชามาให้กูสร้างพระ แล้วเอ็งอดยา ถ้าเอ็งอดยาตาย กูให้มึงกระทืบเว้ย

          เขาก็ตกลง แต่ขอให้ขรัวโตทำน้ำมนต์ให้กิน อาตมาก็ทำน้ำมนต์ให้ มันกินแล้วก็บอกว่าเปรี้ยวปาก อาตมาก็มีน้ำมนต์วิเศษ ก็เข้ากุฏิเยี่ยวลงไป ทำเทียนเวียนไปเวียนมา เสร็จแล้วให้มันกิน ทีนี้พวกขี้ยาเกิดอุปาทานในน้ำมนต์วิเศษ กินแล้วอาเจียนออกมาบ้าง พอหมดเชื้อยากัญชาและฝิ่นในร่างกาย มันก็เลิกสูบโดยเด็ดขาด

          ทุกวันก็บ่มมันว่า กัญชาฝิ่นนั้นไม่ดี เสพแล้วเป็นพิษภัยต่อร่างกาย อาตมาก็เขียนกลอนสะกิดใจว่า

ยังพวกเหล่ากัญชาทำหน้าเซอะ  ขี้ฟันเลอะอกแห้งมักอยากหวาน

ทำตาปรือลือกันประสาพาล ไม่ทำการเที่ยวกินกัญชาเชือน

เอาไฟดุ้นเข้าจ่อชักคอโก่ง พอตกเพลาะแล้วส่งให้พวกเพื่อน ทำเงยหน้าเหมือนจะเสยเอาดวงเดือน

ใครทำเหมือนแล้วชมกันว่าดี..

          พวกขี้ยาทุกวันจะเอาเงินมาโยนใส่ในหลุมที่อาตมาขุดไว้หลังกุฏิ พอได้เงินมากพอประมาณ อาตมาก็สร้างพระเจดีย์และพระสมเด็จส่วนหนึ่งแจก อีกส่วนหนึ่งบรรจุไว้ในพระเจดีย์ ซึ่งต่อมาเรียกเจดีย์ขี้ยา สร้างเสร็จแล้วก็มีเงินเหลือ พวกนั้นบอกให้หลวงพ่อใช้ อาตมาบอกว่าไม่ได้ ขรัวโตเป็นคนมีเงินมากไม่ได้ มีเงินมากเดี๋ยวผ้าเหลืองร้อน เพราะฉะนั้นพวกเอ็งถ้าไม่เอาก็โยนลงน้ำ ดูเหมือนโยนไปหลายร้อยบาท เขาก็เอามาตีเป็นหวยกัน หวยนั้นออก ง. ถูกกันจนกระทั่งเถ้าแก่ฮง ต้องส่งลูกน้องมาเฝ้าดูขรัวโตใบ้หวย

          ในสภาวะเจดีย์ขี้ยาเวลานี้เขารื้อทิ้งไปแล้ว ในนั้นอาตมาได้บรรจุพระสมเด็จไว้แยะ ต่อมาเหล่าขี้ยาเขาเป็นอย่างไร พอเลิกได้เขาสร้างเสร็จมันไปล้วงพระในเจดีย์ไปขายกันเลย สภาวะเขาเรียกกงเกวียนกำเกวียนสร้างทั้งบุญสร้างทั้งบาปของเหล่าพวกขี้ยา จนที่นั่นประกาศว่าที่นั่นมีเจดีย์ขี้ยา แต่เวลานี้ถูกรื้อสิ้นแล้ว เรื่องนี้มันไม่ใช่อาตมาสร้างอภินิหารอะไรที่ไหนหรอก เป็นแต่เงินของเหล่าขี้ยามาสร้างเท่านั้นเอง