ทัศนะของทูตสันติภาพ

  • Print

อาจารย์สุชาติ โกศลกิติวงศ์ ทูตสันติภาพ

ทัศนะทูตสันติภาพ

คำปราศรัยต่อสมาชิกองค์การศาสนาและสันติภาพแห่งเอเชีย ณ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา

วันที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐

                ทุกวันนี้การที่โลกไม่สงบนั้นเกิดจากหลักความจริงที่ว่า ผู้นำประเทศส่วนมากตกเป็นทาสของความโลภ ในการสะสมอาวุธและวางแผนการทำลายซึ่งกันและกัน

                โลกจะเกิดสันติภาพขึ้นได้ก็ด้วยผู้นำศาสนาต้องร่วมมือกันและวางความแตกต่างเหล่านั้นเสีย แม้ว่าเราจะแตกต่างกันในด้านเชื้อชาติประเพณีทางศาสนาและภาษาก็ตามแต่จิตใจเราต่างเข้าใจซึ่งกันและกัน

                ศาสนาเท่านั้นที่จะป้องกันสงครามโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ปัญหาที่ขัดแย้งกันคือทำอย่างไรผู้นำศาสนาจึงจะสามารถทำให้ประชาชนเข้าถึงศาสนาที่ตนนับถือ

                มนุษย์สามารถคิดและวางแผนการใดๆได้ แต่จะสำเร็จหรือไม่อยู่ที่พระเจ้า เรื่องการต่อสู้ในชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันนี้ เราจะเห็นว่าการดำรงชีวิตประจำวันของมนุษย์ต้องต่อสู้กับอารมณ์ต่างๆของตัวเอง ในปัจจุบันมนุษย์แบ่งออกเป็น ๒ ค่ายคือ ค่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายคอมมิวนิสต์ ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันจนกว่าจะถึงที่สุด แต่ยังมีกกลุ่มประชาชนของโลกอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งดำรงชีวิตในทางศาสนา พวกเขาเหล่านี้อยู่ฝ่ายธรรมะซึ่งเป้นพลังเงียบของโลก พวกเขาควรรวมกันและทำงานร่วมกันโดยยึดหลักว่า อะไรคือความต้องการของมนุษย์ มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร และทำไมมนุษย์จึงเกิดมา และเมื่อตายแล้วเขาจะไปไหน ถ้าผู้นำของฝ่ายธรรมะรวมพลังกันอย่างเข้มแข็ง และทำงานด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อมนุษยชาติทั้งมวลแล้ว สันติภาพของโลก ย่อมเกิดเป็นจริงขึ้นมาได้

พลังแห่งสันติภาพอันแท้จริง

คำปราศรัยต่อที่ประชุมองค์การชาวพุทธแห่งเอเชียเพื่อสันติภาพครั้งที่ ๕

ณ กรุงอูลาน บาตอร์ ประเทศมองโกเลีย

วันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๒๒

                …ถ้าหากว่าพลังเงียบของความสามัคคีทางศาสนาจะสามารถสร้างให้เกิดขึ้นมาได้ ดังที่เราได้เห็นกัน ณ ที่ประชุมนี้ ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า สันติภาพอันแท้จริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยพลังอาวุธ แม้พลังเศรษฐกิจหรือพลังการเมือง ก็เกิดสันติภาพขึ้นไม่ได้ สงครามโลกสองครั้งได้พิสูจน์ความจริงข้อนี้มาแล้ว สันติภาพอันแท้จริงจะเกิดขึ้นได้ด้วยพลังทางศาสนาของมนุษยชาติเท่านั้น ฉะนั้นผู้นำศาสนาใหญ่ๆของโลกจะต้องก้าวออกมาเพื่อสันติภาพ

                …ขอให้ท่านทั้งหลายโปรดให้ความสนใจเป็นพิเศษแก่เสถียรภาพและสันติภาพในเอเชียอาคเนย์ สถานการณ์อันบีบคั้นในปัจจุบันนั้น นับว่าเป็นอันตรายล่อแหลมที่จะทำให้เกิดระเบิดแก่สงครามโลกครั้งที่ ๓ เวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้

                ข้าพเจ้าขอร้องอีกครั้งต่อผู้นำที่เข้าร่วมประชุม ได้โปรดดำเนินงานเรื่องสันติภาพต่อไป โดยไม่หยุดยั้งในประเทศของท่าน ให้เท่ากับที่ท่านพยายามอย่างเต็มที่ในที่ประชุมนี้ เผื่อว่าจะได้เป็นการเชิดชูเป้าหมายในอุดมการณ์ขององค์การชาวพุทธแห่งเอเชียเพื่อสันติภาพไปตลอดกาล และเพื่อให้เกิดสันติภาพอันถาวรแก่ประชาชนในประเทศเราและมนุษยชาติทั่วโลก ข้อนี้เป็นหน้าที่ของผู้นำศาสนาอย่างแท้จริง

สันติภาพไม่ใช่อยู่ที่สะสมอาวุธ

                การที่จะให้เกิดสันติภาพอย่างแท้จริงก็คือ คนเราต้องไม่มีอาวุธ ศาสนาถ้าคนไม่เข้าใจ ก็หาว่าเป็นสิ่งเสพติด แต่ถ้าคนเข้าใจแล้วจะรู้ซึ้งว่า ความสุขของคนเราอยู่ที่ไหน ความสุขของคนเราอยู่ที่จิตใจ ไม่ใช่อยู่ที่โลกภายนอก ที่ยศถาบรรดาศักดิ์

                นับเป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่เราพยายามเรียกร้องว่าต้องการสันติภาพ เราให้พลังของนักการเมืองแก้ไขก็แล้ว พลังของฝ่ายทหารแก้ไขก็แล้ว เราควรจะใช้พลังทางศาสนาแก้ไขบ้าง...

คำให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ “ตะวันออกปริทัศน์” วันที่ ๘ มิ.ย. ๒๕๒๐ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา

ย่างก้าวของสันติภาพ

คำปราศัยในโอกาสพระศิริซิงห์ วีระมหาราช

อนุชาของพระศาสดาศรีสัตคุรุ ยักยิต ซิงห์ ยี มหาราช และคณะเยือนหุบผาสวรรค์เมืองศาสนา

ณ ตำหนักมิตรภาพ หุบผาสวรรค์เมืองศาสนา

วันอาทิตย์ที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๓ เวลา ๑๒.๓๐ น.

                สันติภาพจะเกิดขึ้นได้นั้น ขั้นแรกจะต้องมาจากตัวเราก่อนคือ ตัวเราจะต้องงดการเบียดเบียนสัตว์ก่อน เมื่อเราไม่เบียดเบียนสัตว์แล้ว จิตเราย่อมที่จะไม่มีกิเลสตัณหา เพราะสัตว์เขาก็มีชีวิตจิตวิญญาณ เราก็มีชีวิตจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้นเราถือว่า มนุษย์นี่เป็นผู้ที่เห็นแก่ตัวมากที่สุด คือจะเอาตัวรอดโดยไม่คิดถึงชีวิตของผู้อื่น

                ฉะนั้นเราจึงเห็นว่าแนวทางนี้เป็นแนวทางที่ถูกต้อง และทางคณะเราก็กำลังพยายามทุกวิถีทาง ที่จะนำเสนอแนวความคิดนี้ในประเทศไทยและทั่วโลก

                ที่นี่ไม่ใช่มีโครงการมังสวิรัติอย่างเดียว ที่นี่ยังมีโครงการเชื่อมภราดรภาพทางศาสนาเพื่อใช้พลังศาสนาให้เกิดสันติภาพ เพราะศาสนาทุกศาสนา สอนให้คนทำความดี…

สวดมนต์เพื่ออะไร

ถ้าเราทุกคนมีศาสนาและเชื่อว่าตายแล้วไม่สูญ โลกหน้ามีจริง สวรรค์ นรกมีจริงแล้วพลังแห่งการอ้อนวอนสวดมนต์นั้นจะเป็นพลังอันหนึ่งที่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระเจ้าดลบันดาลให้กับบุคคลที่กำลังเจรจานั้นอยู่ในขันติธรรมไม่ให้มีโทสะโลภะ โมหะเข้าครอบงำ

ทุกวันนี้ที่เราเกิดการวุ่นวายอลเวงนั้น เพราะว่ามนุษย์เราตกอยู่ในภาวะเจ้าโทสะ เจ้าโมหะ เจ้าโลภะ และอย่างในการประชุมอะไรก็แล้วแต่นั่นน่ะ เรามีกิเลสเจ้าโทสะ เจ้าโมหะ เจ้าโลภะแล้ว เรายังมีเรื่องน้ำเหล้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมทำให้การประชุมนั้นได้รับความจริงแห่งการเรียกว่าสัจธรรม หรือว่าหลักแห่งการเข้าสู่สันติสุขนั่นเป็นไปได้ยาก…

จากหนังสือ วาทะทูตสันติภาพแห่งโลก มนตราเพื่อสันติภาพ รวบรวมโดย พล.ต.ต.พิบูลย์ ภาษวัธน์

แสนยานุภาพที่เกิดจากจิต

วิทยาศาสตร์ทางจิต จิตเป็นสิ่งสำคัญและแสนยานุภาพก็เกิดจากจิต จิตสามารถค้นคิดนิวตรอน จิตสามารถคิดอาวุธนิวเคลียร์ จิตสามารถสร้างดาวเทียม จิตสามารถสร้างขีปนาวุธ จิตสามารถสร้างเรือรบ จิตสามารถสร้างเรือรบ จิตสามารถสร้างปืนใหญ่

                ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนออกมาจากจิตทั้งสิ้น เพราะในภาวะจิตนั้นอยู่ที่เราจะใช้ไปในทางที่ถูกหรือในทางที่ผิด คือจิตเป็นกุศลกับจิตเป็นอกุศล…

จากหนังสือ วาทะทูตสันติภาพแห่งโลก มนตราเพื่อสันติภาพ รวบรวมโดย พล.ต.ต.พิบูลย์ ภาษวัธน์

มนตราเพื่อการตัดสินใจ

ผมเชื่อว่าถ้ามนุษย์ทั้งโลกเราสวดมนต์ คือศาสนาไม่ได้แบ่งขีดขั้น ศาสนาไม่ได้แบ่งชนชั้น ศาสนาไม่ได้แบ่งประเทศ ศาสนาไม่ได้แบ่งเผ่าพันธุ์ พลังแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และพระเจ้าอาจจะดลบันดาลให้ท่านทั้งสองนั้นเกิดสติปัญญา ได้คิดว่าชีวิตการเป็นมนุษย์นั้นอยู่ไม่ถึงร้อยปีต้องตายจากโลกมนุษย์แล้ว เหลือแต่ความดีและความชั่วให้อนุชนรุ่นหลังสรรเสริญและนินทาเท่านั้น เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เป็นผู้นำของประเทศที่ล่อแหลมต่อสงคราม ถ้าเขาเกิดโทสะเข้าไป อะไรจะเกิดขึ้น คือคำสั่งของผู้นำคำหนึ่ง จะให้ประเทศรอดก็ได้ การตัดสินใจของผู้นำ ตัดสินใจผิดทำให้ประเทศฉิบหายก็ได้